วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554

** ข้อคิดจากเมฆฝน

ในช่วงที่ก่อนฝนจะตก เราจะเห็นเมฆฝนซึ่งตั้งเค้าทมึนดำมืดอยู่บนท้องฟ้า เราก็เรียนรู้ว่าอีกไม่นานก็จะมีฝนตก ก็จะเร่งรีบไปเก็บเสื้อผ้าที่ตากอยู่ ก่อนที่ฝนจะตกลงมาทำให้เสื้อผ้าที่ตากอยู่เปียกหมด การเห็นฝนตั้งเค้าก็คือการมองเห็นโอกาสที่จะเกิดปัญหาก่อนที่จะเกิดปัญหา (ความเสี่ยง) คือผ้าเปียก นั้นคือเรามีการคาดการณ์ล่วงหน้าจากแบบแผน(Pattern) ที่ได้เคยเรียนรู้มาก่อนว่า ถ้าเห็นเมฆตั้งดำทมึนแบบนี้แล้วอีกไม่นานฝนก็จะตก แต่ในทางกลับกัน แม้เราจะคาดการณ์แล้วว่าฝนจะตก แต่ไม่มีผ้าหรืออะไรให้เก็บ หรือถึงผ้าที่ตากไว้จะเปียกก็ไม่เป็นไร นั้นคือ เรามองเห็นปัญหาแล้ว แต่ไม่คิดว่านั้นเป็นปัญหา ก็ไม่ต้องลงมือกระทำอะไรเพื่อแก้ปัญหานั้น

การที่เราจะรู้ว่าอะไรเป็นปัญหาหรือไม่ จะต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อย 2 ประการ คือ การมองเห็นปัญหา และการยอมรับว่านั้นเป็นปัญหา จึงจะนำไปสู่การแก้ไข แต่มีข้อมูลหนึ่งที่น่าตกใจจากรายงานการวิจัย ซึ่งศึกษาสภาพปัญหาในเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นมาแล้ว ทั้งใหญ่และเล็ก อดีตถึงปัจจุบัน เพื่อค้นหาว่า ปัญหาต่างๆเหล่านั้นมีสาเหตุที่มาจากบุคคล ที่แท้จริงแล้วมาจากอะไร ซึ่งกล่าวโดยสรุปคือ มาจากการมองไม่เห็นปัญหา (ไม่เห็น)การมีความรู้ไม่เพียงพอว่าสิ่งนั้นเป็นปัญหา(ไม่รู้) และความประมาทที่ทำให้ละเลยกับสิ่งที่เป็นปัญหา (ไม่นึก) จนกระทั่งความเสียหายเกิดขึ้นแล้วจึงยอมรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

มีบุคคลที่จะเกี่ยวข้องอยู่ 4 ประเภท เปรียบเทียบกับเมฆฝน

1. ส่งเสียงกระหึ่มลั่น แต่ไม่ตก คือคนที่พูดอย่างเดียว เอาแต่วิพากษ์วิจารณ์ พูดให้ดูดี แต่ไม่ลงมือทำอะไร ในสังคมทุกวันนี้ คนกลุ่มนี้จะมีจำนวนมากที่สุด เพราะเป็นวิธีที่ดูเผินๆดูดีและทรงภูมิปัญญา และเข้าตาผู้คนได้ง่ายมากที่สุด นักการเมืองน้ำเน่าจะอยู่ในกลุ่มนี้มาก กล่าวคือคนกลุ่มนี้เขาสามารถให้คำแนะนำสั่งสอน ให้ความเห็นได้ในทุกๆเรื่อง แต่ไม่ค่อยจะได้ลงมือทำอะไรจริงจัง เพราะฉะนั้น อย่าเพียงแต่ฟังเขาพูด ให้ดูสิ่งที่เขาทำด้วย

2. ตก แต่ไม่ส่งเสียงกระหึ่มก่อน คือ คนที่เอาแต่ทำ...ทำ...ทำเท่านั้น แต่ไม่พูดอะไร คนกลุ่มนี้หายากมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆทุกวัน เพราะหมดกำลังใจ ทำดีแต่ไม่รู้จักพูด คุณความดีที่เกิดขึ้น ก็ถูกคนที่รู้จักพูดให้ดูดี แม้ไม่มีผลงานอะไรก็คว้าเอาไปหมด

3. เพียงลอยผ่านไป แต่ไม่ส่งเสียง และก็ไม่ตกด้วย คือ คนที่ไม่พูด ไม่ทำ เอาแต่ลอยไปลอยมา คนกลุ่มนี้กำลังจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ และส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับบาดเจ็บมาจากกลุ่มที่สอง คือลงมือทำไปมากๆแล้ว ไม่ได้รับผลตอบแทนที่น่าพอใจ แล้วจะทำต่อไปทำไม ก็สมัครใจใส่ เกียร์ว่าง

4.บางครั้งคำรามกึกก้องด้วย แล้วตกลงมาด้วย คือ คนที่ทั้งพูด และ ทั้งลงมือทำ คนกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มสร้างประโยชน์ให้กับหน่วยงาน ถ้าหากรักษาสมดุลระหว่างการพูดและการกระทำเอาไว้ได้

ดังนั้นท่านต้องเลือกเองว่าท่านจะเป็นเมฆฝนประเภทไหน แต่อย่างไรก็ตามการตกลงมาของสายฝนก็สร้างความชุ่มช่ำให้ผืนแผ่นดิน และอย่าลืมว่า ฟ้าหลังฝนก็สดใสเสมอ ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น