วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

** ชาวนากับลา


ชาวนาคนหนึ่งเลี้ยงลาไว้ตัวหนึ่งลาตัวนี้แก่มากแล้ว วันหนึ่งชาวนาได้พาเจ้าลาแก่ออกไปข้างนอกด้วยความโง่เขลาของมันดันเดินซุ่มซ่ามไปตกบ่อดินที่แคบลึกและชันมากแห่งหนึ่ง มันร้องครวญครางขอความช่วยเหลือเป็นเวลาอันยาวนาน ชาวนาเองก็พยายามคิดที่จะหาวิธีที่จะช่วยเจ้าลาขึ้นมา
ในตอนแรกเขาผูกเชือกยาวไว้กับเสาปากบ่อ แล้วโยนเชือกยาวลงไป จากนั้นก็ไต่ลงไปตามเส้นเชือก ผูกเจ้าลาไว้กับเชือก แล้วไต่เชือกขึ้นมา พยายามจะดึงเจ้าลาขึ้นมาจากบ่อ แต่ตัวเจ้าลาหนักเกินไป เขาดึงไม่ไหว จึงไปขอแรงชาวบ้านให้มาช่วยกันดึงเจ้าลา เชือกที่ถูกดึงรัดตัวเจ้าลา และบาดลึกเข้าไปในตัวมัน มันเจ็บ จึงร้องอย่างโหยโหนหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม พร้อมทั้งดิ้นอย่างสุดแรงเกิด ทำให้ไม่สามารถจะดึงมันขึ้นมาได้
ชาวบ้านคนหนึ่งเสนอว่า ให้ทำไม้กระดานผูกกับเชือก แล้วเอาลงรองใต้ตัวเจ้า จากนั้นก็ดึงยกขึ้นมา วิธีนี้เจ้าลาก็จะไม่เจ็บ และก็ไม่ดิ้น แต่พอลงมือทำก็พบว่าบ่อดังกล่าวนั้นแคบเกินกว่าที่จะเอาไม้กระดานที่คิดไว้ลงไปรองรับเจ้าลาได้
อีกคนหนึ่งเสนอว่าให้ช่วยกันขุดปากบ่อให้กว้างขึ้นเป็นแนวเฉียง จะได้ช่วยได้เจ้าลาได้ง่ายขึ้น แต่พอลงมือทำก็พบว่า ใต้พื้นดินในบริเวณที่ตรงนั้นเป็นหินและดินแข็งเป็นส่วนใหญ่ ทำให้การที่จะขุดบ่อให้กว้างขึ้นต้องใช้เวลาและกำลังงานมหาศาล
จนในที่สุดชาวนาเจ้าของลา ก็หวนคิดขึ้นมา เจ้าลาตัวนี้ก็แก่เกินไปแล้ว ใช้ประโยชน์อะไรก็ไม่ค่อยจะได้แล้ว อีกอย่างหนึ่งบ่อนี้ก็จำเป็นจะต้องกลบ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้จะเป็นอันตรายเกินไป ถ้ามีคนพลัดตกลงไป จึงไม่คุ้มที่จะช่วยเจ้าลาขึ้นมา ชาวนาจึงขอแรงชาวบ้านช่วยกันกลบบ่อ ถึงแม้จะเป็นวิธีที่โหดร้ายมาก แต่แล้วทุกคนก็เห็นตรงกันว่า ไม่มีทางเลือกแล้ว จำเป็นต้องทำ พวกเขาจึงช่วยกันใช้พลั่วตักดินสาดลงไปในบ่อ ครั้งแรกเมื่อดินที่ถูกโยนลงไปถูกหลังลา เจ้าลามันตกใจและรู้ชะตากรรมของตนทันทีว่า จะไม่รอดแน่แล้ว มันร้องโหยหวนทันที ชาวบ้านทุกคนต่างมองหน้ากัน อึดใจหนึ่งก็ตัดใจตักดินสาดลงไปในบ่อต่อไป พร้อมๆกับที่ได้ยินเสียงเจ้าลาร้อง สักพักหนึ่งทุกคนกลับแปลกใจที่เจ้าลาเงียบเสียงลงไป พากันคิดว่าดินคงกลบทับเจ้าลาไปแล้ว พากันเหลือบมองลงไปในบ่อ
ก็พบกับความประหลาดใจว่า ทุกครั้งที่ทุกคนสาดดินไปถูกหลังลา เจ้าลาจะสะบัดดินออกจากหลัง แล้วก้าวขึ้นไปเหยียบบนดินเหล่านั้นยิ่งทุกคนพยายามเร่งระดมสาดดินลงไปมากเท่าไร มันก็ยิ่งก้าวขึ้นมาได้เร็วมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ในไม่ช้าเจ้าลาก็สามารถหลุดพ้นจากปากบ่อรอดชีวิตออกมาได้ ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้คือ ชีวิตนี้ย่อมจะมีปัญหาอุปสรรคต่างๆที่ถาโถมเข้ามาหาเรามากมาย ทั้งใหญ่และเล็ก เปรียบเสมือนก้อนดินที่สาดเข้ามาหาเรา หากเรายอมแพ้มัน แล้วไม่ลงมือทำอะไรเลย ปัญหาอุปสรรคต่างๆเหล่านั้น ก็จะทับถมเราจนตาย ในทางกลับกันหากเราไม่ท้อถอย ไม่ยอมแพ้ งอมืองอเท้า สลัดมันออกไปเพื่อที่เราจะได้เหยียบมันเพื่อที่จะก้าวสูงขึ้นเรื่อยๆ
"อุปสรรคมีไว้ให้ก้าวข้ามไป ปัญหามีไว้ให้แก้ไข"
“ปลาที่ตายแล้วจึงว่ายตามน้ำ ปลาที่ยังมีชีวิตอยู่จะว่ายทวนน้ำเสมอ” ครับ..

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

** นิทานปีศาจกับความสุข


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว... มีปีศาจที่แสนเกลียดชังมนุษย์อยู่สี่ตน
ปีศาจทั้งสี่วางแผนที่จะขโมยความสุข ไปจากมนุษย์และนำความสุขนั้นไปซ่อน
เพื่อไม่ให้มนุษย์ได้มีความสุขกันอีกต่อไป
ปีศาจทั้งสี่ต่างออกความคิดเห็นถึงสถานที่ที่จะนำความสุขไปซ่อน
เพื่อให้ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถเข้าถึงความสุขได้เลย
ปีศาจตนที่หนึ่งออกความเห็นว่า
"ข้าคิดว่าเราควรจะเอาความสุขที่แย่งชิงมาจากมนุษย์เนี่ย
ไปซ่อนที่ภูเขา เพราะภูเขามีต้นไม้ใบหญ้ามากมาย
สามารถที่จะซ่อนความสุขไว้ไม่ให้มนุษยสามารถหาเจอได้โดยง่าย"
ปีศาจตนที่สองออกความเห็นว่า "แต่ข้าคิดว่า เราควรจะเอาความสุขไปซ่อนไว้ที่ทะเล
เกลียวคลื่นที่ไม่มีวันจบสิ้นจะสามารถซ่อนความสุขจากมนุษย์ได้
ปีศาจตนที่สามกล่าวแย้งขึ้นว่า
"ไม่ๆ... เอาไปซ่อนไว้ที่น้ำตกดีกว่า กระแสน้ำที่เชี่ยวกราก
และซอกหลืบหินที่มากมายนี้แหละ
ที่จะสามารถซ่อนความสุขไว้ได้อย่างมิดชิด"
ปีศาจทั้งสามต่างโต้แย้งกัน ต่างหาเหตุผลมาต่างๆ นานาเพื่อที่จะสนับสนุนความคิดของตนเอง
ปีศาจทั้งสามตนทะเลาะกันอย่างหนักหน่วง และไม่สามารถหาข้อสรุปได้
สุดท้ายปีศาจทั้งสามจึง คิดว่า ให้แบ่งความสุขออกเป็นสี่ส่วน
และนำไปซ่อนตามสถานที่ต่างๆ ที่ตนเองต่างคิดไว้
ปีศาจทั้งสามจึงขอความเห็นจากปีศาจตนที่สี่ ที่นิ่งนั่งฟังเงียบมาตลอดเวลา
ปีศาจตนที่สี่จึงได้สารภาพว่า ตนเองได้ขโมยเอาความสุขที่แท้จริงไปซ่อนเอาไว้แล้วตั้งนานแล้ว
ปีศาจทั้งสามจึงถามด้วยความสงสัยว่า นำไปซ่อนไว้ในที่ใด ไฉนปีศาจทั้งสามถึงไม่รู้ระแคะระคายเลย
ปีศาจตนที่สี่ ตอบว่า "ข้า...นำความสุขที่แท้จริง ไปซ่อนไว้ในตัวมนุษย์เอง
เพราะมนุษย์ชอบมองหาความสุขจากภายนอก
ที่พวกเจ้าได้นำความสุขไปซ่อนไว้ในที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น น้ำตก ทะเล ภูเขา
มนุษย์ก็สามารถพบกับความสุขจนได้ แต่หากนำความสุขไปซ่อนไว้ในตัวมนุษย์เองแล้ว
มนุษย์น้อยคนนักที่จะสามารถหาเจอพราะว่ามนุษย์ไม่เคยมองหาความสุขจากในตัวเอง
มนุษย์ไม่เคยรู้เลยว่า ความสุขที่แท้จริงแล้วอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคนนั่นเอง"
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มนุษย์จำนวนมากก็ไขว่คว้า ค้นหาความสุขไม่เจอ
ทั้งๆที่ความสุขที่แท้จริงอยู่ในตัวเขาเองมานานแสนนานแล้ว