เช้าวันหนึ่ง ชายหนุ่มคนหนึ่งมายืนอยู่ที่ริมทะลแห่งหนึ่ง เขามองเห็นชราคนหนึ่งก้มๆเงยๆ แล้วก็โยนวัตถุอะไรบางอย่างลงทะเลครั้งแล้วครั้งเล่า เขาจึงเกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก จึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ จึงได้คำตอบ
“อ๋อ ปลาดาวนั่นเอง” ชายหนุ่มนึกในใจ แล้วเขาก็มองเห็นปลาดาวจำนวนมาก ที่น้ำทะเลซัดสาดเจ้าปลาดาวน้อยใหญ่ขึ้นมาเกยตื้นบนพื้นหาดเป็นจำนวนมากจนเกือบเต็มชายหาด ชายชรากำลังก้มเก็บปลาดาวบนชายหาดแล้วโยนลงทะเลไปทีละตัวๆ ชายหนุ่มจึงเอ่ยถามชายชราไปว่า
“ลุงๆๆ ลุงกำลังทำอะไรอยู่ครับ”
ชายชราตอบว่า “ฉันกำลังช่วยชีวิตเจ้าปลาดาวเหล่านี้อยู่ เพราะถ้าขืนปล่อยไว้ เมื่อเวลาสายมันจะถูกแดดเผาจนตาย”
ชายหนุ่มมองไปตามชายหาด ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ลุง..มันจะมีประโยชน์อะไรที่ลุงจะทำแบบนี้ เพราะในวันต่อไป ปลาดาวก็ต้องถูกน้ำซัดขึ้นฝั่งอีกอยู่ดี และปลาดาวที่อยู่บนชายหาดนี้มันก็มากเกินกว่าที่ลุงจะช่วยมันได้ทั้งหมด ยังไงมันก็ต้องถูกแดดเผาตายเป็นจำนวนมากอยู่ดี ผมว่าลุงน่าจะเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่มีคุณค่ามากกว่านี้ไม่ดีกว่าหรือ”
ชายชรายืดตัวขึ้น เหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า มีแววอิดโรยปรากฎอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะเอื้อนเอ่ยบอกว่าชายหนุ่มไปว่า “ลุงไม่รู้หรอกนะว่าลุงจะช่วยปลาดาวได้กี่ตัว..แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ลุงช่วยมันได้อีก 1 ตัวแล้ว” ว่าแล้วชายชราก็โยนปลาดาวในมือลงทะเลไปอีก 1 ตัว
นิทานเรื่องนี้บอกเล่าถ่ายทอดกันอยู่ในวงการชาวค่ายอาสาพัฒนามานานหลายปีแล้ว โดยพวกพี่ๆจะเล่าให้รุ่นน้องฟัง โดยมีเจตนาต้องการถ่ายทอดให้รุ่นน้องๆเรียนรู้ว่า “เวลาที่เรามองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นมากมายรอบตัวเรานั้น เรามักบอกตัวเองและคนรอบๆข้างว่า มันเป็นอย่างนี้เอง สังคมมันเป็น อย่างนี้เอง เราตัวเล็กๆ เราจะไปทำอะไรได้ แล้วเราก็จะมักท้อใจ พยายามจะหาคำอธิบายมาบอกกับตัวเอง เพื่อที่เราจะอยู่ต่อไปได้อย่างสบายใจ หรือ เพื่อจะได้ไม่รู้สึกผิดมากจนเกินไปนัก …แต่เราลืมคิดไปว่า...การเริ่มทำอะไรบางอย่างบ้าง แม้จะเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยก็ตาม แต่ถ้ามันจะมีประโยชน์อยู่บ้าง ก็ยังดีกว่า เพียงวิพากษ์วิจารณ์แล้วไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น